ไม่น่าเชื่อว่าผู้ติดตามช่อง YouTube ของเราส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเด็ก ๆ ที่กำลังเรียนอยู่ หรือพวกวัยรุ่น ๆ แม้กระทั่งนิสิตนักศึกษาที่กำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัย ในฐานะพี่ที่เป็นผู้ใหญ่สมัยใหม่และก็มีประสบการณ์การทำงานมาอย่างน้อย 2 ปี ก็อยากจะแนะแนวรุ่นน้องทุก ๆ คนที่กำลังจะมีชีวิตที่ดีแน่ ๆ ในอนาคตได้ฟังกัน ถือซะว่า พี่สวมบทบาทเป็นครูแนะแนวเลยล่ะกันนะครับ
บางที อาจารย์แนะแนวหลาย ๆ คนที่พี่เคยสัมผัสมา ก็จะแนะแนวให้ไปเรียนมหาวิทยาลัยต่าง ๆ มากกว่าครับ แต่ไม่ได้แนะแนวในเรื่องหลังจากเรียนจบ และเราทำงานอะไร มีหลาย ๆ อย่างที่ผู้ใหญ่หลอกเด็กเหมือนอย่างที่ผู้ใหญ่หลอกว่าห้องนั้นมีผีนั่นแหละ แต่สิ่งที่จะพูดต่อไปนี้ มันคือความจริง และต้องเตรียมตัวรับมือให้ดี ๆ ครับ
โลกความจริงมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ใครหลาย ๆ คนพูด
มีคนหลายคนในโลกออนไลน์บอกว่า “โลกความจริงมันน่ากลัว” ก็จริงอยู่ที่มันน่ากลัว แต่ส่วนใหญ่แล้ว ที่เราคิดว่าโลกความจริงมันน่ากลัวเพราะเราไปดูละครหรือทีวีซีรีย์บางเรื่องที่เอามาจากชีวิตจริง และการนำเสนอชีวิตหรือความสัมพันธ์จริง ๆ นั้นก็เอาแต่เรื่องทางลบมานำเสนอ อย่างเช่น มีแฟนแล้วและยังไปมีชู้ หรือสองคนนี้เค้าคบกัน แต่หารู้ไม่ว่า เค้ามีแฟนทั้งคู่อยู่แล้ว คือนำเสนอแต่เรื่องราวแย่ ๆ แบบนี้ก็เลยกลายเป็นประเด็นต้องกลัวว่าโลกความจริงมันน่ากลัว
แต่เดี๋ยวก่อน โลกความจริงไม่ได้น่ากลัวอะไรแบบนั้น จริง ๆ ด้านดีมีเยอะ และถ้าเราเป็นคนดี เดี๋ยวสิ่งดี ๆ ก็จะดึงดูดมาหาเราเอง แต่ถ้าเป็นคนคิดในแง่ลบ หรือทำอะไรที่มันแนวดาร์ค ๆ ความแง่ลบหรือความดาร์คก็จะมาหาแล้วเราก็จมปลักอยู่อย่างนั้น
ภาษาอังกฤษสำคัญมาก
จริง ๆ มันสำคัญมาตั้งนานแล้ว และยุคนี้ไม่ใช่แค่ภาษาอังกฤษเท่านั้นที่สำคัญ ยังมีภาษาจีนกับญี่ปุ่นที่สำคัญ สาเหตุที่บอกว่าภาษาเหล่านี้มันสำคัญเพราะระยะหลัง ๆ มา เวลาเราขายอะไรต่าง ๆ หรือพวกนักท่องเที่ยวต่างเป็นคนจีนกับคนญี่ปุ่นเยอะมากครับ การที่เรารู้ภาษาเหล่านี้มันทำให้การค้าขายหรือติดต่อมันทำได้ราบลื่นมากยิ่งขึ้น
ลองไปเดินดูแถว Central World และ Terminal 21 ตรงอโศกครับ ที่เหล่านี้เป็นที่แลนมาร์คที่คนจีนส่วนใหญ่เอาทัวร์มาลงกันที่นี่ ย้ำเลยว่า “ส่วนใหญ่”
ส่วนภาษาอังกฤษก็สำคัญไม่แพ้กัน แม้ว่าเกมหรือบริการเว็บไซต์ต่าง ๆ สมัยนี้มีภาษาไทยให้ใช้งานแล้ว สุดท้าย ภาษาอังกฤษก็สำคัญไม่แพ้กัน ถ้าจะยกตัวอย่าง คงต้องยกให้คนทำ Content ใน YouTube ครับ
ถ้าเราทำเนื้อหาเป็นภาษาไทย ก็จะมีแต่คนดูที่เป็นคนไทย แต่ถ้าเราทำเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษ คนดูมันจะมาแทบทั้งโลกเลยทีเดียว และโฆษณาของต่างประเทศที่ลงให้กับ YouTube เค้าจ่ายแพงกว่าที่เมืองไทยเยอะ ดังนั้น ใครจะมาทำ YouTube ถ้าเก่งภาษาอังกฤษนี่ ทำไปเลยครับ เราเสียดายมากที่เราทำคลิปวีดีโอเป็นภาษาไทยเป็นอันดับแรก และผลที่ตามมา ถ้าเราจะทำเป็นภาษาอังกฤษแบบหักดิบ คนก็จะไม่ดู และต้องการให้ทำเป็นภาษาไทยซะงั้น มีแต่เราพูดเป็นภาษาอังกฤษ และทำ Sub ไทยกำกับ แต่การทำแบบนี้มันจะทำให้การสร้างคลิปดูยุ่งยากยิ่งขึ้น
รับจ้างเขียน content, ออกแบบกราฟิคลง Instagram, Facebook ติดต่อได้ที่ balladsonata@gmail.com
ตามหาความฝันของตัวเองให้เจอก่อน
ความฝัน ความฝัน แล้วก็ความฝัน เจออะไรที่ไหนก็เห็นแต่คำว่า “ความฝัน” ไม่ว่าใน Facebook พวกเพจแนว ๆ พัฒนาตัวเองก็ต้องมีคีย์เวิร์ดว่า “ความฝัน” หรืออะไรแนว ๆ นี้ “ความฝัน” มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ และมันสามารถจับต้องได้หรือไม่ ลองฟังสิ่งที่จะพูดต่อไปครับ
จริง ๆ ความฝันนั้น มันคือคำตอบของคำถามที่ว่า “เราเกิดมาทำไม” มากกว่าครับ ความฝันคือสิ่งที่เราอยากได้จริง ๆ ในปัจจุบัน หรืออนาคต ซึ่งความฝันที่ถูกต้อง มันต้องเกิดความเชื่อว่ามันเกิดขึ้นแน่นอน และเราต้องลงมือทำ ถ้าเราคิดแต่จะฝันอย่างเดียวโดยไม่ลงมือทำ หรือท้อแท้แล้วไม่เกิดผลอะไร อย่างนี้เรียกว่า “เพ้อ” ครับ ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลย แต่ถ้าอยากเปลี่ยนความเพ้อให้เป็นความฝัน ก็ต้องลงมือทำต่อเลย
แล้วถ้าคิดไม่ออกว่าจะฝันเป็นอะไรดี แนะนำให้ดูพวกไอดอลที่เค้าประสบความสำเร็จหลาย ๆ คนครับ แต่ต้องระวังอย่ามองไอดอลคนนั้นที่ความรวยเพียงอย่างเดียว ให้มองที่ความสามารถ และลองก็อปปี้ตามไอดอลคนนั้นไปก่อน ถ้าเกิดว่ามันโอเคแล้วเรารู้สึกว่าชอบ ลองก็อปไปเรื่อย ๆ จนถึงวันหนึ่ง เราเริ่มรู้ตัวเองแล้ว และไปสู่ข้อต่อไปครับ
จงเป็นตัวของตัวเอง
หลังจากที่เราสำรวจคนอื่นมาเยอะแล้ว ทีนี้ลองถามตัวเองดูว่าเราชอบอะไรมาก ๆ หรือในแต่ละวัน เราจะดีไซน์ตัวเองอะไรยังไงอย่างที่ต้องการ การเป็นตัวของตัวเองในยุคนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ ครับ เพราะทำให้ผู้คนที่เห็น ไม่ว่าจะเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ หรือคนที่กำลังติดตามเราอยู่เค้ามองเราได้ง่ายขึ้น อารมณ์ประมาณว่า เห็นปุ๊ป รู้เลยว่าเป็นคนนี้
วิธีการเป็นตัวของตัวเอง เริ่มแรกว่า เราเป็นคนชอบอะไร และทำออกมาแล้วมีความสุข หรือบางทีเช็คสไตล์การแต่งตัวของเรา ว่าเราแต่งตัวแบบไหนแล้วมันเป็นสไตล์เรา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พูดยากพอสมควรครับ หัวใจหลักของการเป็นตัวของตัวเองคือใช้เวลากับตัวเองนาน ๆ ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ คือไม่ควรฟังสิ่งที่สังคมต้องการมากเกินไป และความเป็นตัวของตัวเองมันจะโผล่มากขึ้นเรื่อย ๆ ครับ
แบ่งเวลาระหว่างเรียน, เจอเพื่อน, อ่านหนังสือ หรือหาข้อมูล
เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ที่เกิดมาฉลาดมาก ๆ ดังนั้น อาหารของชีวิตประจำวันมันไม่ได้มีแค่เอาอาหารแต่ละมื้อใส่ปากเพียงอย่างเดียวเท่านั้น มันยังมีเรื่องการเรียนรู้จากสิ่งที่เห็น ไม่ว่าหนังสือ หรือพวก Content ต่าง ๆ ที่เราสามารถอ่านได้ฟรีในโลกออนไลน์ แต่ยังไงซะ หนังสือเป็นเรื่องที่สำคัญที่เราต้องอ่านด้วย เพราะถ้าเราอ่านหนังสือบ่อย ๆ เราจะมีเรื่องที่พูดและแชร์ให้คนอื่นได้ฟังไปตาม ๆ กัน คนที่ฉลาดหรือพูดเก่งนั้น ล้วนมาจากการอ่านหนังสือทั้งนั้น
แต่อย่าลืมแบ่งเวลาอย่างอื่นอย่างเช่นเจอเพื่อน ๆ คุยกันอะไรกันด้วย เพราะการคุยกับเพื่อน ๆ ทำให้เราผ่อนคลายความตึงเครียดและเราได้ไอเดียอะไรใหม่ ๆ จากสิ่งที่เพื่อน ๆ ได้คุยกันครับ เป็นอะไรที่วิเศษมาก ๆ เลย
ควรเรียนรู้ระบบการทำงานด้วยการเป็นพนักงานประจำก่อน (ประมาณ 2 ปี)
สำหรับคนเพิ่งเรียนจบ ต่อจากนี้ไป นี่คือชีวิตของการทำงานจริง ๆ ครับ และเมื่อจบมาแล้ว ถ้าเกิดเรามีงานเป็นของตัวเองอยู่แล้ว แนะนำให้เป็นลูกน้องของบริษัทซักปีสองปีก่อน ฟังดูแล้วอาจจะเป็นเรื่องที่บ้าบิ่น คือเรามีงานเป็นของตัวเองอยู่แล้ว ทำไมเราต้องเป็นลูกน้องเค้าด้วย
จากประสบการณ์การทำงานของเรา เราได้เจอหัวหน้าหรือเจ้านายมาบ้าง เจ้านายเหล่านี้ที่ผมทำงานมา เค้าจบมาก็เป็นเจ้านายเลย ซึ่งปัญหาที่ตามมาคือ เค้าไม่รู้ว่า สิ่งที่ลูกน้องต้องการคืออะไร และตำแหน่งเจ้านายมันไม่ได้มีแค่ชี้นิ้วสั่งอย่างเดียว คือที่เจอมา มีแต่ชี้นิ้วสั่ง ค่าของเราอยู่ที่ผลของงาน พอเราทำงานพลาด ก็เข้าไปตักเตือนหรือต่อว่า เค้าไม่มาถามว่า “เหนื่อยไหม” หรือเลี้ยงดูลูกน้องอะไรเลย
ซึ่งเราเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อน ๆ ที่ทำงานด้วยกันฟังอยู่ เพื่อน ๆ ก็บอกว่า “มันเป็นแบบนี้ทุกที่” เรามองว่าเรื่องนี้พวกนี้มันไม่ปกติ ซึ่งเวลาเกิดปัญหาอะไรก็แล้วแต่ เราจะมองที่ต้นเหตุเป็นอันดับแรก และต้นเหตุเหล่านี้ เท่าที่รู้คือ คนที่เป็นเจ้านายเค้าไม่เคยเป็นลูกน้องมาก่อน ทำให้ไม่รู้หัวใจของลูกน้องว่าคิดอย่างไร
และการเป็นลูกน้องหรือถ้าพูดให้สวย ๆ ก็ต้องเรียก “พนักงานประจำ” มีข้อดีอีกอย่างคือ “เรียนรู้ระบบของบริษัท” คือเรียนรู้ว่า ถ้าเกิดเราเป็นนายตัวเอง มันมีอะไรบ้างที่เราต้องทำ มันไม่ใช่เป็นนายตัวเองแล้วจะเป็นอิสระ จริง ๆ มันยากกว่าเป็นลูกน้องซะอีก ลองคิดให้ดี ๆ เพราะการเป็นลูกจ้างในยุคนี้ เปรียบเสมือนเราเข้าไปเรียนโรงเรียนวิชาชีพที่เราได้เงินเดือนจริง ๆ มากกว่า
ส่วนเรื่องการเป็นนายตัวเองแบบละเอียด แนะนำให้ไปศึกษาได้ที่ช่อง YouTube Startyourway หรือ Facebook Startyourway ครับ
เมื่อทำงานแล้ว อย่าลืมอ่านหนังสือหรือหาความรู้เพิ่มเติม
ถ้าเราทำงานมากเกินไป เราจะไม่เกิดความคิดหรือแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ที่จะทำงานครับ การอ่านหนังสือหรือดูพวกหนังหรืออะไรก็แล้วแต่เป็นการเพิ่ม MP หรือกินอาหารทางด้านความคิดให้อิ่มแล้วเอาไว้ใช้ความรู้หรือแรงบันดาลใจในการทำงานต่อไป ควรแบ่งเวลาหาอ่านหรือดูเพื่อเกิดเป็นไอเดียด้วยนะ อย่าลืม
เมื่อความฝันเป็นจริง ก็ตั้งความฝันใหม่
เพราะมนุษย์ไม่รู้จักพออยู่แล้ว ถ้าเกิดว่าสิ่งที่เราคาดหวังมันเป็นจริงขึ้นมา อย่าลืมตั้งความฝันใหม่ไปเรื่อย ๆ แล้วเราก็ทำต่อ ซึ่งตอนนี้ สิ่งที่ทำให้ชีวิตของเรามีค่า คือการหาอะไรทำตามที่เราตั้งเป้าหมายเอาไว้ ทำไปเรื่อย ๆ ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
และที่สำคัญที่สุด “จงเป็นผู้ให้”
เพราะยุคนี้ เป็นยุคแห่งการแชร์ มันคงไม่ดีนักถ้าเกิดเราสร้างอะไรก็แล้วแต่หรือทำอะไรก็ตามและคิดถึงแต่ตัวเอง ส่วนเรื่องการให้ผู้อื่นมันเหมือนเป็นดาบสองคม บางคนให้มากเกินไปจนลืมตัวเอง ที่ถูกต้องที่สุดคือ รู้จักตัวเองและทำอะไรก็ตามให้ผู้อื่นด้วยความเป็นตัวของตัวเอง การโฆษณาของยุคนี้มันมีอีกช่องทางที่เราไม่จำเป็นต้องเสียเงินซักบาท นั่นคือ “การให้คนอื่นแชร์ของ ๆ เรา” ถ้าเป็น YouTube Creator ก็ผลิตผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นให้มีคนแชร์ผลงานของเรา ถ้าเป็นบล็อกเกอร์ก็เขียนเนื้อหาที่ทำให้คนอื่นเกิดประโยชน์ในการใช้ชีวิตประจำวัน ถ้าเป็นเชฟทำอาหารก็ผลิตอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ถ้าเกิดเรารวยแล้ว เราก็บริจาคเงินให้ตามมูลนิธิต่าง ๆ เพราะยุคนี้ ค่าของคนไม่ได้วัดที่ผลงาน หรือความรวย มันวัดกันที่ “รู้จักตัวเองและให้คุณค่ากับผู้อื่นมากน้อยแค่ไหน”
สรุปสิ่งที่ฝากถึงน้อง ๆ ที่เรียนอยู่ในปัจจุบัน คือจงเป็นตัวของตัวเอง เข้าใจตัวเอง และให้ผู้อื่นเกิดประโยชน์ ประมาณนี้ครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น